เชื่อว่าพ่อแม่และผู้ปกครองนั้นก็น่าจะเคยได้ยินคำว่า “เด็กออกหัด” กันมาบ้างอย่างแน่นอน ซึ่งมันก็คือโรคหัดนั่นเอง โดยโรคนี้นั้นจะเป็นโรคที่มักจะเกิดในเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 8 เดือนเป็นต้นไป หรือในบางราย 5 เดือนก็เริ่มมีอาการให้เห็นกันแล้ว ซึ่งวันนี้บทความของเราก็จะพาคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่อาจจะยังไม่เคยประสบพบเจอกับการที่ลูกออกหัดมาแนะนำให้ได้ดูกันและได้เข้าใจถึงโรคนี้และการรักษาที่ถูกต้องได้มากยิ่งขึ้น จะมีอะไรที่น่าสนใจกันบ้าง ก็มาดูไปพร้อม ๆ กันได้เลย
โรคหัด เป็นอย่างไร รู้ได้อย่างไรว่าลูกเป็นแล้ว

โรคหัด คือ เชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง มีชื่อว่า Measles ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้นั้นก็จะปะปนอยู่กับ น้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วย โดยหากผู้ป่วยได้รับเชื้อไวรัสชนิดนี้แล้วในช่วงระยะฟักตัวภายใน 8-12 วันก็จะมีอาการที่เริ่มเห็นได้ชัดมากยิ่งขึ้น โดยอาการของเด็กที่เป็นโรคหัดหรืออาการออกหัดนั้นก็จะมีดังนี้
- เด็กจะเริ่มมีอาการงอแงโดยไม่ทราบสาเหตุ
- มีไข้และน้ำมูก รวมถึงน้ำตาจะไหลง่ายและยังมีอาการตาแดงร่วมด้วย
- มีไข้สูงขึ้น อุจจาระที่ขับถ่ายออกมาจะเป็นอุจจาระเหลว
- หลังจากที่มีไข้อยู่ประมาณ 3- วัน จะสังเกตได้ว่าตามผิวหนังนั้นจะมีผื่นเม็ดเล็ก ๆ ขึ้นอยู่ โดยช่วงแรก ๆ จะเป็นสีแดง ซึ่งก็จะเป็นแบบนี้อยู่ประมาณ 2-3 วัน และหลังจากที่ไข้ลดลงแล้วจากผื่นที่เคยเป็นสีแดงก็จะมีความคล้ำและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มจนอ่อนและจะหายไปเอง

ซึ่งอาการเหล่านี้ก็จะเกิดกับเด็กทุก ๆ คนอยู่แล้ว แต่หากมีอาการของไข้ทุ่นแรงมากยิ่งขึ้น ภายใน 7 วันไข้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดนั้น ควรรีบพาลูกของคุณมาปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด เพราะบางทีลูกก็อาจจะไม่ได้เป็นหัด เนื่องจากอาการของโรคนี้จะมีความคล้ายคลึงกับโรคไข้เลือดออกอยู่พอตัว ดังนั้นหากไม่มั่นใจหรือลูกมีอาการที่ไม่ดีขึ้นควรรีบพาเขาไปพบแพทย์

ปัจจุบันวิวัฒนาการของวงการการแพทย์เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เด็กนั้นได้รับวัคซีนที่สามารถป้องกันโรคหัดได้แล้ว โดยจะได้รับในช่วง 9-12 เดือน ทำให้ปัญหาเกี่ยวกับโรคหัดในเด็กในปัจจุบันนั้นมีการลดลงอย่างเห็นได้ชัด และทำให้พ่อแม่มีความสบายใจได้มากยิ่งขึ้นว่าลูกจะไม่เป็นหัด แต่ก็ต้องพาลูกไปฉีดกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุได้ 2 ขวบครึ่ง ซึ่งก็จะช่วยป้องกันได้อีกทาง
เครดิต
www.amarinbabyandkids.com
อ่านต่อที่ คู่มือแม่ลูกอ่อน